อาการไข้เลือดออกมีวิธีรักษาอย่างไรบ้าง
ในปัจจุบันยังไม่มียาที่สามารถรักษาหรือต้านเชื้อไวรัสเดงกีได้โดยตรง เพราะฉะนั้นการรักษาโรคไข้เลือดออกจึงเป็นการรักษาไปตามอาการที่ผู้ป่วยเป็น โดยสามารถให้ยาลดไข้ได้ โดยใช้พาราเซตามอลร่วมกับการเช็ดตัวลดไข้ แต่ห้ามใช้ยาลดไข้ประเภทอื่น เช่น ยาจำพวกแอสไพริน (aspirin) หรือ ibuprofen
ซึ่งการพาผู้ป่วยเข้าพบแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างทันท่วงทีจะดีต่อผู้ป่วยมากที่สุด เพราะหากได้รับการวินิจฉัยโรคอย่างถูกต้องตั้งแต่ระยะแรก เมื่ออยู่ในระยะวิกฤตแพทย์ก็จะสามารถดูแลติดตามอาการได้อย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันภาวะช็อก
วิธีป้องกันไข้เลือดออก
เนื่องจากยังไม่มีวัคซีนที่สามารถรักษาอาการไข้เลือดได้โดยตรง เพราะฉะนั้นวิธีที่ดีที่สุดก็คือ การป้องกันตัวเองไม่ให้ได้รับเชื้อไวรัสเดงกี หรืออีกนัยหนึ่งก็คือการป้องกันตัวเองไม่ให้ถูกยุงลายกัดนั่นเอง ซึ่งเราสามารถป้องกันได้ดังนี้
1 . ป้องกันตัวเอง
- สวมเสื้อผ้าที่มิดชิด
- นอนในห้องที่มีมุ้งหรือมุ้งลวดเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกยุงกัด
- ใช้ยาทากันยุงชนิดทาผิว
2 . กำจัดแหล่งพาหะ
- ภาชนะเก็บน้ำต้องมีฝาปิดเสมอ
- เปลี่ยนน้ำในแจกัน หรือกระถางทุก 7 วัน
- ฉีดพ่นสารเคมีหรือยากันยุงเพื่อกำจัดยุงลายเต็มวัย
3 . วัคซีนป้องกันไข้เลือดออก
สำหรับการฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออกนี้แนะนำให้ฉีดในรายที่เคยเป็นไข้เลือดออกแล้วเพื่อป้องกันไม่ให้เป็นซ้ำ ซึ่งจะลดความรุนแรงและได้ผลดีกว่า
สรุป
โรคไข้เลือดออกนั้นสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย โดยมีระยะอาการทั้งหมด 3 ระยะ คือ ระยะแรก ระยะวิกฤต และระยะฟื้นตัว ซึ่งการดูแลผู้ป่วยนั้นควรดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการช็อก ในกรณีที่ผู้ป่วยเริ่มมีอาการรุนแรงขึ้นก็ควรรีบพามาพบแพทย์เพื่อจะเข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงที
สามารถติดตามบทความและข้อมูลอ้างอิงต่อได้ที่… https://www.rama.mahidol.ac.th/ramachannel/article/how-to-treat-dengue-fever/