ซึ่งข้อมูล ณ วันที่ 27 มกราคม 2563 พบว่าตัวเลขของผู้ติดเชื้อพุ่งสูงกว่า 2,794 ราย และมีการรายงานจำนวนผู้เสียชีวิตแล้ว 80 ราย ที่สำคัญการแพร่ระบาดเริ่มมีการกระจายตัวออกนอกเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย ประเทศจีน ไปสู่สหรัฐอเมริกา, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, ไต้หวัน, ไทย และประเทศอื่นๆ เป็นจำนวนกว่า 13 ประเทศ จนทางการจีนต้องออกประกาศเตือนห้ามประชาชนเดินทางเข้าและออกเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย ในช่วงที่มีการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่อย่างหนัก
ทำไมเรียกโรคปอดอักเสบว่า ‘เชื้อไวรัสโคโรนา’ และต้นตอมาจากไหน
เดิมทีโรคปอดอักเสบจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่นี้ อยู่ในตระกูลเดียวกับไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคซาร์ส (SARS) หรือโรคระบบทางเดินหายใจเฉียบพลันร้ายแรงที่เคยระบาดหนักใน 37 ประเทศทั่วโลกช่วงปี 2002-2003 ซึ่งเป็นเชื้อที่ติดต่อจากคนสู่คน ไม่ใช่เพียงแค่การติดต่อจากสัตว์สู่คน มีอาการสำคัญ ได้แก่ มีไข้ ไอ หายใจเหนื่อยหอบ โดยสาเหตุที่เชื้อไวรัสชนิดนี้ถูกเรียกว่าโคโรนา เป็นเพราะหากส่องด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน จะพบว่าเชื้อชนิดนี้มีลักษณะเป็นวงกลม และมีขายื่นออกมาจากตัวเชื้อ
ส่วนต้นตอของเชื้อไวรัสโคโรนา จากการสอบสวนโรคเบื้องต้นในประเทศจีน พบว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่ทำงานในตลาด หรือมีประวัติเดินทางไปที่ตลาดค้าส่งอาหารทะเลแห่งหนึ่งกลางเมืองอู่ฮั่น ซึ่งเป็นตลาดที่มีการค้าสัตว์หลายชนิด เช่น นก, ไก่ฟ้า, งู, เครื่องในกระต่าย และสัตว์ป่าอื่นๆ และขณะนี้ตลาดดังกล่าวได้มีการจัดการด้านสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อม และถูกปิดแล้วตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563
ทบทวนสถานการณ์ในไทย และแนวโน้มต่อจากนี้ ควบคุมได้ไหม
สำหรับการตรวจพบผู้ติดเชื้อ กระทรวงสาธารณสุขของไทยยืนยันแล้วว่า ตอนนี้ประเทศไทยพบผู้ติดเชื้อ 8 ราย โดยแบ่งเป็นคนจีน 7 ราย และคนไทย 1 ราย ซึ่งล่าสุดพบว่ารักษาหายแล้ว 5 ราย ขณะที่อีก 3 รายยังคงรับการตรวจรักษาอย่างใกล้ชิด (ข้อมูลถึงวันที่ 27 มกราคม 2563)
ทั้งนี้ระหว่างวันที่ 24-30 มกราคม 2563 จะเป็นช่วงเทศกาลตรุษจีน ซึ่งทางจีนได้ประกาศให้เป็นวันหยุด คาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางท่องเที่ยว แบ่งเป็นเที่ยวในประเทศจีน 400 ล้านคน และต่างประเทศอีก 7 ล้านคน ซึ่งจุดหมายปลายทางกว่า 90 ประเทศทั่วโลกที่ชาวจีนจะเดินทางไป พบว่าประเทศไทย คืออันดับ 1 ที่ชาวจีนนิยมเดินทางมาท่องเที่ยว ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ทางการไทยจำเป็นต้องคุมเข้มเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคอย่างหนัก
ทาวด้าน ดร.นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค ให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD Daily ถึงสถานการณ์ขณะนี้
“ถ้าดูข้อมูลจากประเทศจีน จะเห็นว่าสถานการณ์ยังน่าเป็นห่วงอยู่ เนื่องจากการระบาดในประเทศจีนเคยพบหนักสุดถึงขั้นปอดอักเสบและมีผู้เสียชีวิตแล้ว ถ้าหากยังไม่สามารถควบคุมการระบาดได้ ก็จะมีผลกระทบต่อประเทศอื่นๆ เพราะจะมีการเดินทางเกิดขึ้นเยอะในช่วงเทศกาลตรุษจีนนี้”
ในมุมการแพทย์ ‘เชื้อไวรัสโคโรนา’ น่ากลัวขนาดไหน
ดร.นพ.โสภณ ตอบว่า “ถ้าดูข้อมูลจากระบาดวิทยา จะเห็นได้ว่าเชื้อไวรัสโคโรนามีอยู่ 6 สายพันธุ์ดั้งเดิม โดยมี 2 ตัวที่รุนแรงคือซาร์สและเมอร์ส อีก 4 ตัวจะมีอาการไม่รุนแรงมาก เต็มที่จะเป็นเพียงไข้หวัด ขณะที่สายพันธุ์ใหม่จะอยู่ในระหว่างตรงกลาง ถ้าเรามีข้อมูลเกี่ยวกับสายพันธุ์ใหม่อยู่ในมือครบถ้วน จึงจะสามารถประเมินได้ว่าจะรุนแรงระดับใด”
เมื่อเปรียบเทียบกับ ‘ซาร์ส’ จะพบว่าผู้ป่วยมีอาการป่วยและเสียชีวิตคิดเป็น 10% หรือ 1 ใน 10 ของผู้ป่วย ส่วน ‘เมอร์ส’ ผู้ป่วยมีอาการป่วยและเสียชีวิตคิดเป็น 30% หรือ 1 ใน 3 ของผู้ป่วย
“เมื่อเทียบสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในจีนที่มีผู้ป่วย 400 กว่าคน จะพบว่าผู้เสียชีวิตทั้ง 9 รายต่างมีโรคประจำตัวทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นเมื่อดูแบบคร่าวๆ แล้ว เปอร์เซ็นต์การป่วยและเสียชีวิตน่าจะไม่ถึง 5 เปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำ ทั้งนี้โรคที่เกิดขึ้นใหม่ๆ บนโลกใบนี้ยังไม่สามารถสรุปในทันที เพราะต้องรอข้อมูลประกอบที่ถูกต้องและครบถ้วน เพื่อหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโรคอีกครั้ง
“ดังนั้นถ้าสรุปจากข้อมูลที่มีขณะนี้ โรคจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ดูแล้วน่าจะรุนแรงน้อยกว่าโรคซาร์สและเมอร์ส”
โอกาสที่เชื้อไวรัสโคโรนาจะพัฒนาและทวีความรุนแรงขึ้นมีมากน้อยแค่ไหน
ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค ระบุว่า “เป็นไปได้ครับ เนื่องจากธรรมชาติของเชื้อโรคหรือเชื้อไวรัสที่อยู่ในร่างกายคนก็จะมีการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวให้เชื้อมันอยู่ได้ดีขึ้น โดยการปรับตัวของเชื้อจะขึ้นอยู่กับว่ามันจะเข้ากับเซลล์ของคนได้ดีแค่ไหน ซึ่งจะก่อให้เกิดการเพิ่มจำนวนและอันตรายที่ตามมา ซึ่งอันนี้คือมุมที่รุนแรงและก่อให้เกิดการเสียชีวิตได้
“แต่อีกมุมหนึ่ง ถ้าเชื้อต้องการอยู่รอด มันก็จะปรับตัวให้อยู่ร่วมกับคนได้โดยไม่ทำร้ายให้คนเสียชีวิต เพราะถ้าคนเกิดตายขึ้นมา เชื้อก็จะตายไปด้วย ดังนั้นมันมีโอกาสทั้งสองทาง ก็คือมีทั้งโอกาสที่จะพัฒนาและไม่พัฒนาต่อ”
เชื้อไวรัสโคโรนามีระยะฟักตัวกี่วัน
จากข้อมูลที่กรมควบคุมโรคเทียบเคียงกับเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ดั้งเดิม เบื้องต้นประเมินว่าเชื้อสายพันธุ์ใหม่มีระยะฟักตัวระยะสั้น คือตั้งแต่ 2-14 วัน นั่นจึงเป็นสาเหตุที่มีการประกาศเตือนให้ผู้ที่เดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยงอย่างเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย ให้สังเกตอาการของตนเองเป็นเวลา 14 วันเพื่อเช็กร่างกายว่าป่วยหรือไม่
อย่างไรก็ตาม สำหรับคนทั่วไปน่าจะแสดงอาการภายใน 1 สัปดาห์ แต่จะมีบางกรณีที่แสดงอาการเร็วกว่าหรือช้ากว่านั้น จึงตั้งกรอบเวลา 14 วัน เพื่อให้สังเกตอาการ แต่ถ้าตรวจสอบแล้วมีอาการเกี่ยวกับทางเดินหายใจ ให้รีบไปพบแพทย์ทันที พร้อมกับให้รายละเอียดประวัติการเดินทาง ซึ่งจะทำให้แพทย์วินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสมในเวลาอันรวดเร็ว
ขึ้นชื่อว่าไวรัส ไม่มียารักษาจริงหรือไม่
โดยทั่วไปเชื้อไวรัสจะถูกรักษาตามอาการ เพื่อให้ร่างกายปรับสภาพและสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมา แต่จะมีเชื้อไวรัสบางตัวที่สามารถใช้ยารักษาได้ ยกตัวอย่างเช่น เชื้อไวรัสเฮชไอวีก็มียารักษา
“เท่าที่ทราบมา ทางนักวิทยาศาสตร์และทีมแพทย์พยายามดูว่ายาต้านไวรัสตัวใดสามารถนำมาใช้กับไวรัสโคโรนาได้ ซึ่งคาดว่าอีกไม่นานเราน่าจะได้เห็นข้อมูลว่ามียาตัวใดสามารถรักษาได้”
ช่วงเทศกาลตรุษจีน คนไทยควรระวังอย่างไร
“สิ่งที่เราควรจะทำในช่วงตรุษจีนคือการเตรียมความพร้อม ระมัดระวัง ช่วยกันสอดส่อง เพราะถ้ามองในอีกแง่หนึ่ง จะเป็นการช่วยกันเฝ้าระวังโรค เนื่องจากตอนนี้เรามีการเฝ้าระวังที่สนามบินและโรงพยาบาล ถ้าหากเราพบเห็นผู้ที่มีอาการป่วยเกี่ยวกับทางเดินหายใจ เราสามารถแจ้งเจ้าหน้าที่พยาบาลเพื่อพาตัวไปรักษาและตรวจสอบว่าผู้ป่วยรายนั้นป่วยด้วยโรคอะไร
“ส่วนมุมของประชาชนคนไทย ไม่ใช่เพียงแค่โรคเชื้อไวรัสโคโรนาเพียงอย่างเดียวที่ต้องเฝ้าระวัง โรคอื่นๆ อย่างไข้หวัดก็เป็นสิ่งที่ต้องเฝ้าระวังไม่ให้ตัวเองป่วยเช่นเดียวกัน
“ดังนั้นสิ่งที่สามารถปฏิบัติได้คือการหลีกเลี่ยงในพื้นที่ที่มีคนพลุกพล่าน หรือถ้าหากเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ควรสวมหน้ากากอนามัย และล้างมือก่อนทานอาหารทุกครั้ง ซึ่งสิ่งนี้เป็นการป้องกันในเบื้องต้น และสำคัญที่สุดคือถ้าหากป่วยต้องรีบพบแพทย์ทันที”
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
อ้างอิง: